วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

Digital Publishing อนาคตของการสื่อสาร ยกระดับการสื่อสารด้วยสิ่งพิมพ์ดิจิตอล

ถ้าเราลองหาคำจำกัดความของ 'Digital Publishing' จาก Google ส่วนใหญ่แล้วคุณจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการทำ e-Books ซึ่งนั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเผยแพร่ในรูปแบบดิจิตอลเท่านั้น 
John Battelle* ได้ให้คำจำกัดความของ Digital Publishing  ไว้ว่า  'การเชื่อมต่อชุมชนด้วยศิลปะและวิทยาศาสตร์การสื่อสาร' แต่ถ้าเราได้พิจารณาให้ดีจะพบว่าคำจำกัดความนี้ยังไม่สามารถสะท้อนคุณสมบัติของ Digital Publishing ได้อย่างครบถ้วน

*อดีตศาสตราจารย์ด้านการสื่อสารมวลชน UC Berkeley

ความหมายแท้จริงของ Digital Publishing

ถ้าสรุปตามความเข้าใจของผม Digital Publishing น่าจะหมายถึง "การใช้เทคโนโลยีดิจิตอลทดแทนวัสดุประเภทกระดาษ ทำให้เราสามารถเผยแพร่ และเข้าถึงเนื้อหาได้ง่ายผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์"

แล้ว "สิ่งพิมพ์ดิจิตอล" คืออะไร?

Digital Publishing หรือ สิ่งพิมพ์ดิจิตอล (หรืออาจเรียกว่า สิ่งพิมพ์ออนไลน์ หรือสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์) เป็นสิ่งตีพิมพ์ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อาทิ นิตยสาร, ebook, เอกสาร, คู่มือ หรือรายงาน ที่มีรูปแบบเนื้อหายาวค่อนข้างยาว

สิ่งพิมพ์ดิจิตอลบางชนิดสามารถขายด้วยรูปแบบการสมัครเป็นสมาชิกนิตยสารรายเดือน บางเนื้อหาสร้างขึ้นโดยเป็นพิเศษ และเป็นเนื้อหาฟรี โดยสร้างรายได้จากการโฆษณา หรือใช้เพื่อร้องรับวัตถุประสงค์การตลาดเนื้อหา (Content Marketing) เช่น นิตยสารดิจิตอล, ebook หรือแคตตาล็อกดิจิตอล

บางแพลตฟอร์มเหมาะกับสำหรับโมเดลแบบชำระเงิน ในขณะที่บางรูปแบบเหมาะกับการตลาดเนื้อหาเพื่อรอบรับการค้นหาทั่วไป

เราสามารถแบ่งโซลูชันการเผยแพร่เนื้อดิจิตอลที่แตกต่างได้ เป็น 2 ประเภทคือ:
  • Web Publishing / Website / Progressive Web App หรือ เนื้อหาสร้างขึ้นเฉพาะบนเว็บไซต์ (Digital First)
  • Native Application (พร้อมให้บริการดาวน์โหลดผ่านใน Apple Store และ Google Play)

ตัวอย่างของ Digital Publishing

สื่อดิจิตอลทำให้เราสามารถสร้างสรรค์ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสื่อสิ่งพิมพ์ และการสื่อสารแบบเดิมๆ หรืออาจพูดได้อีกแบบหนึ่งว่า "ไม่จำเป็นผลิตในรูปแบบสิ่งพิมพ์อีกต่อไป"
  • จดหมายข่าว 
  • นิตยสาร วารสาร หรือคู่มือ
  • การโฆษณา 
  • รายงานบริษัท 
  • แคตตาล็อก 
  • ห้องสมุด, และฐานข้อมูลสินค้า
  • Scrapbook

รูปแบบของ Digital Publishing

Adobe คือหนึ่งในผู้พัฒนาไฟล์เอกสาร PDF ที่นิยมใช้ไปทั่วโลก แต่ราวปี 2012 บริษัท Apple ได้วางจำหน่าย iPad รุ่นแรกออกมา ระบบ Digital Publishing  ได้ถูกพัฒนาออกมาเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไม่สู่อุปกรณ์พกพา และเป็นเป้าหมายหนึ่งที่ทำให้ระบบนี้เป็นกลายเป็นเทคโนโลยีที่สามารถเข้าถึงได้สำหรับคนทั่วไป และมีคุณสมบัติมากเกินกว่าที่ไฟล์ PDF จะทำได้

Digital Publishing จึงเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิตอล นั้นหมายรวมถึง เว็บไซต์, บล็อก, แพลตฟอร์ม Social Media รวมทั้งเกม, แอปพลิเคชัน, วิดีโอ CD และไฟล์ทุกชนิดที่สามารถดาวน์โหลดเพื่อนำมาใช้งานบนอุปกรณ์พกพา

ประโยชน์มากมายของสื่อ Digital Publishing

คุณอาจคิดว่าข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดในการเป็น "สื่อดิจิตอล" คือ การประหยัดต้นทุน และประหยัดเงินมากกว่าสื่อสิ่งพิมพ์ แต่ในความเป็นจริงประโยชน์ที่คุณจะได้รับจาก Digital Publishing มากที่สุด คือ ความสามารถในการเผยแพร่เนื้อหาของแบรนด์ให้กับผู้ที่สนใจได้ "ไม่จำกัด"
เพราะวันนี้ผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ อ่านรีวิว หรือซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น
นักการตลาดดิจิตอลจึงควรใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของโทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์พกพาทุกชนิด ส่งข้อความไปยังผู้ถืออุปกรณ์พกพาพร้อมข้อเสนอให้ผู้คนนับล้านได้ทุกวัน โดยไม่จำต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน
พลังของสื่อในรูปแบบดิจิตอลจะช่วยให้เรารู้ว่า ประสิทธิภาพของการทำงานจากตัวเลขที่เกิดขึ้นจริง อาทิ เราสามารถรู้ว่าจำนวนการใช้คูปองส่วนลดของคุณมีการเปลี่ยนแปลงหรือถูกใช้งานไปที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ 
คุณอาจส่งโปรโมชันผ่านทาง e-mail หรือ Facebook โดยกำหนดให้เฉพาะผู้ที่ซื้อผ่านช่วยทาง 'ออนไลน์' หรือ 'ภายในร้าน' เท่านั้น ผู้บริโภคของคุณไม่จำเป็นต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์หรือพิมพ์ข้อเสนอหรือรหัสยาวๆ ให้วุ่นวายอีกต่อไป เนื่องจากพวกเขาสามารถนำคูปองไปใช้ได้ง่ายๆ ผ่าน Mobile Application บนโทรศัพท์มือถือ ด้วยการสแกนบาร์โค้ด หรือ QR code สินค้าที่ร่วมรายการ เพื่อรับส่วนลดจากร้านค้าได้ทันที

การประยุกต์ใช้สื่อ Digital Publishing ในรูปแบบแคตตาล็อกดิจิตอล

นอกเหนือจากคูปองแล้ว ธุรกิจสามารถนำเสนอสินค้าและบริการทางออนไลน์ด้วยการนำเสนอในรูปแบบแคตตาล็อกดิจิตอล ซึ่งมีประโยชน์มากมาย อาทิ:

  • แคตตาล็อกดิจิตอล สร้างความมีส่วนร่วมและโต้ตอบกับผู้บริโภค ช่วยให้ผู้ใช้คลิกเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อได้ทันที ทำให้ผู้บริโภคเห็นรีวิว การให้คะแนน หรือเสนอความคิดเห็นของตนเองเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ แคตตาล็อกออนไลน์จึงรองรับผู้ซื้อในยุคดิจิตอลได้ดีกว่าในแบบสิ่งพิมพ์ ซึ่งแม้ให้ความรู้สึกจากสัมผัสกระดาษ แต่ก็เอาเข้าจริงก็อาจใช้งานจริงไม่ได้ เช่น อาจวางแล้วหลงลืม หรือชำรุดเสียหายจากการจัดส่ง
  • แบ่งปัน และเผยแพร่แคตตาล็อกดิจิตอลให้กับเพื่อนๆ ครอบครัวได้ง่าย ได้ไม่จำกัดจำนวนการใช้งานผ่านเครือข่ายทางสังคมออนไลน์ (Social Media) หรือส่งอีเมล โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องสำรองข้อมูลเก็บไว้
  • ทุกเนื้อหาดิจิตอลสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภคได้มากขึ้นด้วย ด้วยระบบ Digital Publishing หรือสิ่งพิมพ์ดิจิตอล ทำให้แคตตาล็อกดิจิตอลสามารถผสมผสานระบบสัมผัส ภาพ เสียง วิดีโอ รวมทั้งการซื้อขาย ซึ่งสื่อสิ่งพิมพ์ไม่สามารถทำได้
  • ใช้เวลาเตรียมการผลิตและเผยแพร่ที่สั้นกว่าการพิมพ์แบบเดิม หรือการพิมพ์ลงในนิตยสาร มักต้องใช้เวลาเตรียมตัวล่วงหน้านานกว่า และมักต้องรอเพื่อนำเสนอเนื้อหา 3-6 เดือน แต่สำหรับแคตตาล็อกดิจิตอลคุณจะใช้เวลาเผยแพร่ให้ทุกคนได้เห็นด้วยเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
  • ปรับปรุงเนื้อหาที่เผยแพร่ได้ง่าย และราคาไม่แพงเพราะทำแค่การอัพเดตเท่านั้น แต่สำหรับการผลิตสิ่งพิมพ์ เมื่อคุณเผยแพร่แคตตาล็อกออกไปก็สายเกินไปที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดทั้งเนื้อหา ภาพ หรือราคา
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คุณจะกลับไปทบทวนรูปแบบวิธีการสื่อสารกับผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพ และสื่อสารอย่างจริงใจกับลูกค้าตัวจริงของคุณ ช่วยให้พวกเขาได้รับประสบการณ์ดิจิตอล แล้วกลายเป็นคนที่รัก ผูกพันกับสินค้า และบริการของคุณได้อย่างยาวนาน

หากคุณกำลังมองหาแนวทางพัฒนาการสื่อดิจิตอลด้วยระบบ Digital Publishing หรือต้องการคำแนะนำ เราพร้อมและมีความสุขที่ช่วยเหลือ หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราได้ที่ www.gramdigital.net เราพร้อมช่วยผลิต "Digital Publishing" ให้พอดีกับทุกความต้องการของคุณ

มุมมอง Digital Magazine จาก @Thinkafe จะโตหรือเป็นได้แค่ “บอนไซ”

วันนี้ผมได้มีโอกาสคุยกับชายผู้หนึ่งที่ถือได้ว่าคร่ำหวอดในวงการดิจิตอล โดยเฉพาะกับเทคโนโลยีหนึ่ง ซึ่งถือได้ว่าถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ กับสื่อแนวใหม่อย่างดิจิตอลแมกกาซีน ที่วันนี้เราอาจจะได้เห็นหลายต่อหลายบริษัท หรือสิ่งพิมพ์ที่เดิมอยู่ในรูปของ Hard Copy เปลี่ยนแปลงตัวเองมาอยู่บนอุปกรณ์พกพามากมาย
ชายผู้นี้มีนามว่าคุณอภิชัย เรืองศิริปิยกุล หรือ @Thinkafe ที่เชื่อว่าหลายคนที่คลุกคลีอยู่ในวงการนี้ น่าจะคุ้นชื่อคุ้นหู หรืออย่างน้อยผลงานของเขาผู้นี้ ก็น่าจะเคยผ่านสายตาใครหลายๆ ท่านไปบ้าง ไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นดิจิตอลแมกกาซีนหัวใหญ่อย่าง LIPS หรือ BAZAAR ก็ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของชายผู้นี้ทั้งสิ้น ซึ่งวันนี้เราได้มีโอกาสคุยเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ มุมมอง และอนาคตของสื่อแนวใหม่ตัวนี้ ว่าจะมีโอกาสเติบโตมากน้อยแค่ไหนกันบ้าง…


@tuirung: คำถามแรกที่ส่วนตัวเองก็อยากทราบมานานแล้ว ว่าจริงๆ แล้วแมกกาซีนในรูปแบบที่เสมือน PDF แปะลงไปในแอพฯ แบบนี้เราเรียกมันว่า ดิจิตอลแมกกาซีนได้หรือไม่ครับ…
@Thinkafe:?จริงๆ แล้ว PDF Magazine นี้ก็คือ eMagazine ครับ ยังไม่ใช่ดิจิตอลแมกกาซีนเพียงแต่มันย้ายที่อยู่ จากการอ่านบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ มาอ่านที่หน้าจอ iPad หรืออุปกรณ์พวกแท๊บเล็ตเท่านั้นเองครับ ซึ่งจริงๆ ไม่ต้องเสียเวลาทำให้เป็น App (อาจจะบน iOS Application) ก็ได้ เพราะเราสามารถเปิดอ่านได้จากแอพฯ บน iOS ที่ชื่อว่า iBook ได้อยู่แล้วครับ




ภาพ @Thinkafe จากการสอนที่ NESDEV
ส่วนดิจิตอลแมกกาซีนนั้นจะมีความเป็น interactive โต้ตอบกับผู้ใช้งานมากกว่า ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านได้ประสบการณ์ใหม่ในการอ่านมากกว่า การอ่านจากหนังสือทั่วไป และที่สำคัญ Digital Magazine ยังสามารถเก็บสถิติ (ข้อมูลทางการตลาด) การอ่านของผู้ใช้ได้อีกด้วย ซึ่งจุดนี้ ไม่ค่อยมีคนพูดถึงกัน และข้อมูลนี้ถือเป็นข้อมูลสำคัญในการพัฒนาเนื้อหา (Content)? และนำมาสนับสนุนข้อมูลทางการตลาดได้อีกด้วย
@tuirung:?การทำดิจิตอลแมกกาซีนเล่มนึงออกมายากไหมครับ แล้วต้นทุนมันสูงไหมครับ?
@Thinkafe:?คำถามนี้ ผมขอบีบลงไปที่การพัฒนา Application ไม่เกี่ยวกับ Content นะครับ ในการพัฒนาดิจิตอลแมกกาซีนหนึ่งเล่ม ในปัจจุบันนี้ มีการพัฒนาไปมากกว่าปีก่อนมากนัก เพราะเทคโนโลยีต่างๆ พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยส่วนตัว ผมจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามมุมมองของผมแล้วกันครับ ผมขอไม่รวมนับการทำ eMagazine ที่ทำจาก PDF นะครับ โดยแบ่งออกดังนี้
    1. ประเภท Solution: ประเภทนี้เหมาะกับสำนักพิมพ์ที่มีนิตยสาร จำนวนมาก เพราะเป็นระบบที่สมบูรณ์แบบ มีการจัดการแบบ Editorial Workflow มีการจัดการการทำงานได้รวดเร็ว โดย Solution ที่ว่านี้ก็คือซอฟท์แวร์อย่าง Adobe Digital Publishing Suit และ Woodwing? โดยทั้งสองตัว มีการตั้งต้นงานจากโปรแกรม Adobe Indesign? โดยต้นทุนในการพัฒนาจะอยู่ที่ หกหลักต้นๆ ต่อเล่มครับ หรือถ้าอยากดูราคาของ Adobe Digital Publishing Suite สามารถดูได้ที่ http://www.adobe.com/products/digitalpublishingsuite/pricing/ ครับ
    2. ประเภท Hard Coding: ประเภทนี้เหมาะกับทำเป็นเล่มๆ ส่วนบุคคล ครับ เพราะแต่ละเล่มจัดออกมาด้วยการเขียน Code ล้วนๆ ครับ โดยปัจจุบันมีการพัฒนา โดยใช้ Objective-C และ HTML5 ตลอดจัดการพัฒนาด้วย Flash Platform อย่าง Adobe Flash Professional CS5.5 และ Flash Builder ราคาจะอยู่ที่ห้าหลักต้นๆ ค่อนไปกลางๆ ขึ้นไปครับ ขึ้นกับความยากง่าย เพราะนักพัฒนาจะทำตามคำสั่ง หรือความต้องการของลูกค้า การทำงานจะไม่เร็วเท่าประเภท Solution ที่มีระบบรองรับอยู่แล้ว
@tuirung:?อะไรเป็นสาเหตุที่ดิจิตอลแมกกาซีนไม่เป็นที่แพร่หลายในบ้านเราครับ อุปสรรคที่ทำมันไม่เกิด แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่?
@Thinkafe:?จริงๆ ผมว่าสำหรับผู้อ่านนั้น ถือว่าตอบรับเป็นอย่างดีนะครับ ใครๆ ก็ชอบ แต่ที่เราไม่เห็นดิจิตอลแมกกาซีนออกมา หรือออกมาแล้วก็หายไปนั้น อาจเป็นเพราะทาง Publisher เอง มองว่ามันเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูง และอีกอย่างเขาอาจจะมองว่า Content ของเขาอย่างไรก็ขายได้ เพราะมีคนตามอ่านอยู่แล้ว เลยคิดประหยัด ด้วยการจัด eMagazine หรือ PDF Magazine ใส่เข้าไปในแอพฯ แทน
ซึ่งโดยส่วนตัว ตอนนี้ผมคิดว่า Publisher หลายๆ ค่าย กำลังดูและศึกษาคำว่า ?Digital Publishing? กันอยู่ ถ้าเขาพร้อมยอมรับ และปรับตัว ผมว่าเราคงจะได้เห็นดิจิตอลแมกกาซีนที่มีการสร้างประสบการณ์อ่านใหม่ๆ ให้กับผู้อ่าน ซึ่งผมขอชื่นชม และปรบมือให้กับ mars Magazine ที่มี Hard copy อยู่แล้ว แล้วจัด Digital Magazine แจกฟรีให้แฟนๆ ได้อ่าน และอีกสองหัว อย่าง Andaman 365 และ Beartai Hitext ที่เป็นดิจิตอลแมกกาซีน ทั้งที่ไม่มี Hard Copy มาก่อน นี้แสดงถึงความเข้าใจของคำว่า Digital Publishing อย่างแท้จริง


@tuirung:?มองทิศทางตลาดในบ้านเราอย่างไรบ้าง?
@Thinkafe:?มองอย่างไรนั้นหรือครับ ผมมองว่า ตลาดบ้านเรายังเปิดกว้างมาก เพราะตอนนี้ Publisher รายใหญ่ๆ ยังอยู่กับ eMagazine เสียมากกว่าในตอนนี้ นี่คงเป็นช่องให้? สำหรับ Publisher หรือ NonPublisher แจ้งเกิดได้ง่ายขึ้น ดูอย่าง Beartai Hitext หรือ Andaman 365 ที่ไม่ใช่ Publisher ยังเข้ามาได้อย่างสวยงาม คนตอบรับก็ล้นหลาม ผมว่าคนที่มี iPad ก็ต้องมี Beartai Hitext และ Andaman 365 app อยู่ข้างใน ไม่เชื่อตอนนี้คุณลองของดู iPad คนข้างๆ ได้เลย




เสริมอีกนิดครับ ผมอยากให้มองดิจิตอลแมกกาซีนนั้นเป็นเป็นสื่อยุคใหม่ เป็นช่องทางใหม่จากที่มีอยู่เดิมๆ ในการสร้างรายได้ เมื่อมันใหม่ก็ควรที่จะมีรูปแบบในการหารายได้แบบใหม่ไปด้วยครับ
@tuirung:?คิดว่านิตยสารแนวไหน น่าจะโดนกลุ่มตลาดบ้านเรามาที่สุดในช่วงนี้บ้างครับ
@Thinkafe:?โดยส่วนตัวผมคิดว่าในช่วงนี้แนว Digital Life น่าจะโดนนะครับ เพราะผู้ใช้งานที่มี Gadget ส่วนใหญ่ ก็ดำรงชีวิตแบบ Digital Life ส่วนจะทำเนื้อหา (content) ออกมาแบบไหนนั้น ผมคิดว่า ขึ้นกับการตีความของคำว่า? ?Digital Life? ของแต่ละคนครับ และผมคิดว่าคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มหลักที่จะอ่าน Digital Magazine ของเราเป็นกลุ่มแรกๆ ครับ เพราะใกล้ชิดเขามาก
รองลงมา ผมว่าน่าจะเป็นกลุ่ม ท่องเที่ยว และบันเทิงนะครับ เพราะโดยธรรมชาติของคนเรายังชอบความสนุกสนานอยู่ น่าจะเป็นอีกแนวที่น่าจับตามองครับ
@tuirung:?แล้วลองแนะนำโมเดลธุรกิจของคนที่จะทำแมกกาซีนในรูปแบบดิจิตอลซักหัวหนึ่งได้ไหมครับ
@Thinkafe:?(หัวเราะ) ผมเองคงไม่ใช่นักการตลาดอะไรนะครับ จึงไม่สามารถบอกโมเดลดีๆ ได้ แต่สามารถที่จะนำเสนอ โมเดลที่เขาใช้ๆ กันอยู่ว่าตอนนี้เขาทำกันอย่างไรดีกว่าครับ…
ในต่างประเทศ เขาหารายได้จากดิจิตอล โดยมีรายได้จากการขาย ซึ่งเขาขายกันอย่างสนุกสนาน เป็นกอบเป็นกำ ราคาต่อเล่มตกอยู่ที่ $2.99 – $5.99 (ราว 120-180 บาท) และยังมีรายได้จากผู้สนับสนุน (Sponsor) แถมมาอีกด้วย ส่วนผู้ใช้งานในบ้านเรานั้น ดูจะชอบของฟรีเป็นหลัก ทำให้ผู้ผลิตหลายราย มีการหารายได้จากผู้สนับสนุน (Sponsor) และอื่นๆ ที่ไม่ใช่การขายดิจิตอลแมกกาซีน เพื่อให้มีรายได้เข้ามา ส่วนดิจิตอลแมกกาซีนมักจะแจกฟรี แต่โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่า ถ้าเนื้อหา (Content) ที่ทำใหม่ ไม่ซ้ำกับ Hard Copy ที่ขาย อย่างไรเสียก็ขายได้ แต่บ้านเรายังไม่ค่อยเห็นมากนัก





จากที่ได้กล่าวไปแล้วว่าดิจิตอลแมกกาซีนคือสื่อแนวใหม่ การหารายได้นั้น จากที่ผมกล่าวไป ซึ่งเป็นส่วนของปัจจุบันนั้น ในอนาคตคงต้องทำการบ้านกันพอสมควรกับการหารายได้ที่แตกต่างไป ที่ไม่ได้อยู่บนความคุ้นเคยเดิมๆ อันนี้คงต้องเป็นการบ้านไปให้คิดต่อครับ
@tuirung:?ได้ยินว่ากำลังจะทำแพลตฟอร์มของตัวเอง ที่เหมือนหน้าร้านขายหนังสือเลย เป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้เราฟังบ้างได้ไหมครับ
@Thinkafe:?ทำการบ้านมาดีจริงๆ ช่วงนี้ที่เงียบๆ ไปนั้น เพราะไปพัฒนาระบบดิจิตอลแมกกาซีน และทำหนังสือที่ใช้เทคโนโลยีอย่าง AR หรือ Augmented Reality ครับ แต่ตัวที่ถามนี้น่าจะเป็นดิจิตอลแมกกาซีนใช่ไหมครับ?
Digital Magazine shop ที่กำลังพัฒนาอยู่นี้ (จริงๆ ชื่อมันยังไม่ได้ตั้ง) ยังคงเน้นในส่วนของการ interactive และ multimedia Content ในตัวของหนังสือ ส่วน Shelf นั้นเป็นหน้าร้านที่ผู้อ่านสามารถซื้อ หรือดาวน์โหลดไปอ่านฟรีได้ แล้วแต่ฉบับครับ จริงๆ ก็เหมือนกับร้านขายหนังสือที่ใครๆ ก็สามารถนำหนังสือมาขายได้ หรือมาซื้อไปอ่านได้ ไปจนถึง เปิดให้ Publisher ติดต่อขอเช่า Shelf เพื่อไปเป็น Shelf ของตนเองได้




@tuirung:?มีกำหนดหรือยังครับ ว่าเราจะได้มีโอกาสเห็นได้เมื่อไหร่
@Thinkafe:?ขณะนี้ในส่วนของ Stand Alone App นี้เสร็จแล้ว สามารถบริการได้ แต่ในส่วนของ Shelf ยังอยู่ในช่วงการพัฒนาครับ คาดว่าน่าจะเป็นไตรมาสแรกของปีหน้านะครับ เพราะติดปัญหาบางอย่างที่ไม่เป็นที่น่าพอใจครับ เลยต้องแก้ไขกันก่อน
@tuirung:?เป็นคนพัฒนาเรื่องเหล่านี้อยู่ มีดิจิตอลแมกกาซีนในดวงใจไหมครับ ที่เป็นแรงบันดาลใจอะไรทำนองนั้น แล้วอะไรคือเหตุผลที่ชอบครับ?
@Thinkafe:?มีครับ ชื่อว่า “Our Choice” ครับ ที่ชอบเพราะเทคนิดต่างๆ ที่ใช้ในเล่ม โดยเขาพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ผู้อ่านมีส่วนร่วมในเนื้อหา เล่นสนุกกับความสามารถของ Device รวมกันกับเนื้อหาได้อย่างลงตัว และยังทำให้ผู้อ่านคล้อยตามไปกับเนื้อหาได้อีกด้วย เรียกว่าทุกอย่างที่ใส่เข้าไปใน Our Choice ผ่านกระบวนการคิดมาแล้วทั้งสิ้น







ทำดิจิตอลแมกกาซีนยังไงให้โดน




ทำดิจิตอลแมกกาซีนยังไงให้โดน



1. Happy finger อย่าทำให้นิ้วโกรธ พฤติกรรมของคนใช้แท็บเล็ตคือการจิ้ม ดังนั้นการออกแบบต้องชัดเจน เมื่อจิ้มไปแล้วเขาจะได้รับข้อมูลใหม่ๆ อยู่เสมอ ให้ระวังว่าถ้าจิ้มแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนจะปิดแอปนั้นทันที

2.ไม่ควรใส่ตัวหนังสือมากเกินไป เพราะแท็บเล็ตไม่ได้ออกแบบมาให้อ่านเนื้อหายาวๆ การออกแบบจึงต้องเน้นให้สนุกกับการเสพเนื้อหาที่เป็น วิดีโอ รูปภาพ เสียง หากหนังสือหรือนิตยสารเล่มใดทำให้คนอยู่กับหนังสือได้ 1 ชั่วโมง ถือว่าประสบความสำเร็จ

3.ไม่ควรออกแบบแล้วไปรบกวนคนอ่าน หรือยากลำบากในการอ่านเกินไป เช่น ต้องซูมเพื่ออ่านเนื้อหาบ่อยๆ จะเป็นอุปสรรค

4.เล่มแรกของการเป็น ดิจิตอลแมกกาซีน ไม่จำเป็นต้องดีที่สุด มีฟังก์ชันมากมาย ควรมองเป็นแอปพลิเคชั่น คือ Launch and Learn คือ ปล่อยไปก่อน เพื่อจะได้เห็นฟีดแบ็กคนอ่านและนำมาปรับปรุงเล่มต่อๆ ไปดีขึ้นเรื่อยๆ

5.การราคาดาวน์โหลดต่อเล่ม ถ้าระหว่าง 0.00- 1.99 เหรียญ ไม่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้อ่าน แต่ถ้าตั้งราคา 2.99 เหรียญ ผู้บริโภคจะเริ่มคิดมากขึ้น ทำให้ระบบสมัครสมาชิกเป็นองค์ประกอบสำคัญ 

6.การอัพเดตข้อมูลบ่อยๆ จะช่วยให้รู้ตัวเลขที่แท้จริงว่ามียอดดาวน์โหลดที่แอคทีฟอยู่แค่ไหน เพราะบางครั้งคนอาจใช้แอคเคานต์เดียวดาวน์โหลดมาหลายครั้ง วิธีการคือ นำยอดดาวน์โหลดมาลบออกจากยอดอัพเดต วิธีการนี้ยังช่วยแก้ปัญหาเรื่อง “แอปตู้” รับบริการดาวน์โหลดแอป ให้ลูกค้าหลายๆ คนใช้แอคเคานต์เดียว 

7.อินเตอร์แอคทีฟ แอปพลิเคชั่น ไม่เหมาะกับหนังสือที่อ่านเป็นหลัก เช่น นวนิยายยุคเก่า ยกเว้นนวนิยายที่ถูกออกแบบใหม่ เพื่ออินเตอร์แอคทีฟแอปโดยเฉพาะ 

Digital Publishing อนาคตของการสื่อสาร ยกระดับการสื่อสารด้วยสิ่งพิมพ์ดิจิตอล

ถ้าเราลองหาคำจำกัดความของ ' Digital Publishing ' จาก Google ส่วนใหญ่แล้วคุณจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการทำ e-Books ซึ่งนั่นเป็นเพียง...